การเดินทางสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์

วันนี้ก็จะเจียดเวลาจากการทำงานมาเขียนบทความ ซึ่งอาจจะเป็นประโยชน์หรือไม่อย่างไรก็ตามแล้วแต่ประสบการณ์และอายุสิ่งแวดล้อมความเป็นอยู่ของแต่ละคน ซึ่งบทความที่จะเขียนให้อ่านนี้ไม่ได้เอาจากหนังสือเล่มไหนโดยตรง แต่ได้มาจากประสบการณ์การดำเนินชีวิต การสั่งสอนจากพ่อแม่ครูบาอาจารย์ต่างๆที่ได้ประสบพบเห็นมา ใครจะเชื่อก็ไม่ว่ากัน ส่วนใครที่เห็นว่าเป็นประโยชน์อาจจะลองปฎิบัตตามก็ได้ การที่เราจะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์นั้น ซึ่งที่มองในมุมมองของพุทธศานานั้น ก็คือมี ศีล 5 ศีล 8 ครบไม่ด่างพล้อย นั่นแหละสมบูรณ์แล้ว แต่ถ้าเราจะอธิบายในทางโลกให้เห็นภาพชัดเจน การที่จะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์นั้น ก็คือการที่เรานั้นต้องทำหน้าที่ ในทุกก้าวย่างของอายุให้สมบูรณ์ที่สุด

ก้าวย่างที่ 1    เป็นก้าวย่างแรกแห่งชีวิตหลังจากลืมตาดูโลก  ก้าวย่างนี้ผมแบ่งแบบหยาบๆ ก็คือตั้งเข้าเรียนประถม จนจบมัธยมปลายหรือราวๆจนถึงอายุ 18 ปี  ก้าวย่างแรกนี้เป็นก้าวย่างของความเป็นเด็ก ซึ่งไม่รู้ประสีประสาอะไร  เนื่องจากว่าเรายังอ่อนต่อโลก ก้าวย่างแรกนี้จึงควรมีไม้หรือว่ามีหลักในการค้้ายันตัวเองเอาไว้  ก็คือพ่อกับแม่เรานั้นเอง  ก้าวย่างแรกนี้เรายังทำอะไรด้วยตัวเองไม่ได้เราต้องอาศัยพอและแม่ เพราะฉะนั้นแล้ว การที่จะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ในช่วยก้าวย่างที่ 1 นี้คือต้องเชื่อฟัง  พ่อแม่หรือผู้มีพระคุณทั้งหลายที่เลี้ยงดูเรา  ซึ่งหน้าที่เราที่สำคัญในช่วงอายุนี้ก็คือ ตั้งใจเรียนหนังสือให้เก่ง และสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ ก็น่าจะเพียงพอแล้ว แต่โอกาสในการเรียนต่อมหาลัยไม่ได้มีกันทุกคน ฉะนั้นใครที่ไม่มีโอกาสตรงนี้ก็ไม่เป็นไร  พยายามเรียนให้ดีที่สุด สุดท้ายแล้วโอกาสดีๆก็จะอำนวยต่อมนุษย์ผู้ซึ่งมองและทำแต่สิ่งดีๆ  สิ่งที่ต้องระวังในช่วงก้าวย่างแรกนี้ก็คือ  เพื่อน ต้องคบเพื่อนที่ดีเพราะในช่วงอายุนี้เพื่อนมีอิทธิพลต่อความคิดเรามาก  เรามักจะเชื่อเพื่อนมากกว่าพ่อ แม่  ของเรา  เรามักเชื่อดารา นักร้อง  หรือคนอื่นๆที่ค่อยยุยง  ฉะนั้นตรงนี้ให้ระวังให้ดี  เราอยู่ในฐานะที่ยังดูแล ตัวเอง ไม่ได้ ดังนั้นสิ่งที่เราความเชื่อฟัง คือบุคคลที่คอยเลี้ยงดูเรา นั่นเอง  นั่นคือบทสรุปของความเป็นมนุษย์ที่ดีในช่วงก้างแรกของชีวิต  สรุปคือ เชื่อฟังผู้มีพระคุณ

ก้าวย่างที่ 2   ช่วงก้าวย่างนี้ผมให้อยู่ในช่วงของการเรียนมหาลัย  ช่วงนี้เป็นช่วงที่เรามีความเป็นอิสระที่สุด เพราะเราต้องเผชิญปัญหาต่างๆ ด้วยตนเอง  ต้องออกจากบ้านมาอยู่หอ  จากที่เคยเรียนมัธยมกลับบ้านแม่จะดุจะบ่นตลอดเวลา แต่ช่วงนี้เราต้องอยู่หอต้องออกจากบ้านเพื่อไปเผชิญกับสิ่งต่างๆที่เราไม่เคยเจอมาก่อน  ช่วงนี้ชีวิตจะมีความเป็นอิสระมาก  แต่ในความเป็นอิสระนั้นเป็นสิ่งที่มีความเป็นอันตรายมาก เพราะมันจะมากกับความละหลวมเพราะขาดคนคอยเตือน  คอยบอก  ดังนั้นชีวิตในช่วงนี้เราต้องวางแผนดีๆครับ  การใช้ชีวิตในช่วงนี้ควรใช้ให้มันเต็มที่โดยเฉพาะเรื่องการเรียนนี้แหละครับ ควรเต็มที่ไปเลย  เพราะช่วงนี้แหละเขาเรียกว่าช่วงของการสร้างฐานของชีวิตสำหรับเรา  เพราะถ้าเราตั้งใจเรียนนั้นแหละคือการสร้างฐานที่ดีสำหรับตัวเรา ใครที่รอไปสร้างตอนทำงาน ไมทันกินแล้วครับ  การเรียนในช่วงมหาลัยนี้เป็นเรื่องที่เราต้องตีความให้ออก  การเรียนไม่ใช่ว่าไปนั่งเรียนในห้องแล้วฟังอาจารย์อย่างเดียว แต่เราต้องเฝ้ามองดูตัวเองด้วย และที่สำคัญเราต้องมองสิ่งแวดล้อมรอบข้างด้วย คำว่าสิ่งแวดล้อมรอบข้างนี้หมายถึง เทรนด์ของอนาคตด้วย เพราะถ้าเรามองอนาคตออกนั้นหมายความว่าเราเร็วกว่าคนอื่นอย่างน้อยหนึ่งก้าวย่าง   ก้าวย่างที่ 2 นี้สิ่งที่เราควรทำที่สุดคือ การเรียนให้เต็มที่และเรียนให้จบ  ช่วงก้าวย่างนี้เป็นช่วงที่เครียดมากๆ แต่ก็สำคัญที่สุดเลย เป็นช่วงที่ก่อร่างสร้างตัวเราจากความเป็นเด็กให้มีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น  ถ้าเราเรียนจบได้นั่นหมายความว่าเราได้ก้าวพ้นจากความเป็นเด็กไปแล้ว  

ก้าวย่างที่ 3  เป็นก้าวย่างหลังจากที่เราได้เรียนจบแล้ว หลังจากที่เราเรียนจบแล้ว สิ่งแรกที่เราควรทำให้ก่อนลำดับแรกคือ การหางานทำ  งานที่ทำนั้นก็ตามความถนัดของแต่ละคนครับ ควรหางานที่เรารักที่เราชอบจะทำแล้วความมั่งคั่งและความร่ำรวยจะตามมาเอง  ก้าวย่างที่ 3 นี่เรียกว่าเป็นก้าวย่างของการก่อร่างสร้างตัว  สร้างครอบครัว สร้างอาณาจักรเป็นของตัวเอง  ในก้าวย่างนี้เราบางคนอาจจะหลงเหลิงไปกับความเก่งกาจของตัวเองครับ จงระวังตรงนี้ให้มากครับ บางคนแต่งงานมีครอบครับหลงอยู่กับคนรัก จนลืมใครบางคนไป  ใครบางคนที่ว่านี้ก็คือพ่อกับแม่นั่นเองครับ  อย่าลืมนะว่ากว่าเราจะเดิมมาถึงก้าวย่างที่ 3  นี้ได้ต้องมีคนคอยสนับสนุนซึ่งก็คือพ่อกับแม่นั่นเอง ฉะนั้นแล้วไม่ว่าเราจะมีงานทำประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงไร อย่าลืมผู้มีพระคุณของพวกเราเป็นอันขาด ก้าวย่างนี้เรียกอีกอย่างว่าก้าวอย่างแห่งการรำลึกถึงผู้มีพระคุณ   การทำสิ่งใดก็ตามครับ ถ้าเราหลงลืมในสิ่งที่เคยช่วยเหลือเรา การงานนั้นสิ่งต่างที่เราทำนั้นจะไม่เจริญรุ่งเรื่องเท่าที่ควรจะเป็น ดั้งนั้นอย่ามุ่งแต่เดินไปข้างหน้าจงเลี้ยวมองมาข้างหลังบ้าง  มองคนที่อุ้มชูเราออบกอดเราในวันที่เรายังเดินเองไม่ได้ นั่นแหละครับจะเป็นตัวชูโรงให้เรามีกำลังใจในการทำงาน และถ้าเราดูแลพ่อแม่ผู้มีพระคุณเราได้ เรารู้สึกภาคภูมิใจปลาบปลื้มอย่างหาที่อธิบายไม่ได้ ทำให้เรามีกำลังใจในการทำงาน  สนุกกับการทำงาน และเป็นบุคคลที่มีคุณภาพ ทำอะไรก็เจริญรุ่งเรือง ร่ำรวย ต่อไป…

ก้าวย่างที่ 4  เป็นก้าวย่างแห่งความเฉยชา  หลังจากที่เราร่ำเรียน ทำงานอย่างหนักเพื่ออะไรสักอย่าที่เราเชื่อมั่น  บัดนี้เราก็มีอายุ วัยที่ร่วงโรยเสมือนดอกไม้ที่บานเต็มที่แล้ว รอคอยเพียงวันที่หลุดร่วงเท่านั้น สิ่งที่เราควรทำ ก็คือการปล่อยวางจาก  ปล่อยวางจากสิ่งต่างๆให้หมด อย่างไปโกรธและไปเกลียดใครเลย  สิ่งที่ต้องทำในก้าวย่างที่ 4 นี้คือการให้ของขวัญแก่โลก  เพราะเราอยู่บนโลกนี้มาก็นาน เมื่อจะจากโลกนี้ไปเราก็ควรให้อะไร กับโลกบ้าง ก็คือพูดง่ายๆ คือทำตัวเองให้เป็นปรโยชน์กับคนอื่น  ใครมีเงินก็บริจาคเงิน  ใครมีแรงก็ออกแรงช่วยอาสาทำงานต่างให้กับสาธารณะประโยชน์  ใครมีความรู้ก็ให้ความรู้ นั่นแหละคือก้าวย่างที่ 4  คือ ก้าวย่างของการให้  นั่นเองครับ

            นั่นแหละครับ 4 ก้าวย่างการเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ครับ ชีวิตแต่ละคนก็เหมือนละคร แต่ละก้าวย่างของคนแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน  แต่ทุกก้าวย่างให้ก้าวอย่างสติ  ไม่ทำให้ตนเองและคนอื่นเดือนร้อน ทำประโยชน์ให้แก่โลกบ้างตามสมควรแก่ตน….

171 Views